
"กล้องงู" หรือที่รู้จักกันในชื่อกล้องเอนโดสโคป (Endoscope) เป็นเครื่องมือตรวจสอบที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในงานช่างหลากหลายแขนง แม้ว่าคำว่า "Endoscope" จะถูกใช้ในทางการแพทย์ด้วย แต่สำหรับงานช่าง กล้องงูถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ช่างสามารถ "มองเห็น" ในจุดที่ตาเปล่ามองไม่เห็นได้ เนื่องจากเป็นมุมอับสายตา โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรื้อถอนชิ้นส่วนจำนวนมากออกจากกัน เพื่อตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้น
การมีกล้องงูติดตัวไว้ในกล่องเครื่องมือ มีประโยชน์อย่างไรบ้าง :
- ส่องปุ๊บ เห็นปั๊บ แก้ปัญหาตรงจุด : กล้องงูช่วยให้เราส่องดูข้างในเครื่องจักร, ท่อ, สายไฟ, หรือผนัง เพื่อหารอยร้าว, รั่ว, ตัน, หรือความเสียหายอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ไม่ต้องเดา ไม่ต้องรื้อถอนเยอะแยะให้เสียเวลา ซึ่งการที่เราเห็นปัญหาชัดๆ ทำให้เราแก้ได้ตรงจุด ไม่ต้องลองผิดลองถูก
- ประหยัดเวลา ประหยัดเงิน : พอเราวินิจฉัยปัญหาได้โดยไม่ต้องถอดชิ้นส่วนมากมาย ก็จะช่วยลดเวลาทำงาน ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการรื้อ และประหยัดค่าซ่อมบำรุงไปได้เยอะเลย ดังนั้น สำหรับช่างมืออาชีพ นี่ไม่ใช่แค่การ "ส่อง" แต่มันคือการลงทุนที่ช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น
- มีหลักฐานชัดเจน : กล้องงูหลายรุ่นสามารถถ่ายรูปและอัดวิดีโอได้ ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์มากๆ สำหรับนำภาพมาทำรายงาน เอาไว้ให้ลูกค้าดูว่าปัญหาคืออะไร หรือเก็บไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับงานซ่อมครั้งหน้า เรียกได้ว่าการมีภาพหรือวิดีโอ ช่วยทำให้การสื่อสารชัดเจนและเป็นแบบแผนมากยิ่งขึ้น
คุณสมบัติสำคัญที่ต้องพิจารณาในการเลือกกล้องงู
การเลือกกล้องงูที่เหมาะสมกับลักษณะงานและความต้องการของผู้ใช้งานนั้น จำเป็นต้องพิจารณาคุณสมบัติทางเทคนิคที่สำคัญหลายประการ ดังนี้
1. ขนาดหัวกล้อง หรือ เส้นผ่านศูนย์กลางเลนส์ (Lens Diameter)
ขนาดหัวกล้อง บ่งบอกว่ากล้องของเราจะสามารถสอดเข้าไปในช่องแคบๆ ได้แค่ไหน โดยขึ้นอยู่กับขนาดของช่องที่เราต้องการจะส่อง


ถ้างานส่วนใหญ่ต้องส่องรูที่เล็กมากๆ เช่น รูหัวเทียน สามารถเลือกใช้หัวกล้องขนาด 3.9 มม. หรือ 5.5 มม. ได้ หรือถ้างานของเราต้องส่องท่อ หรือส่องด้านในผนัง สามารถใช้ขนาด 8 มม. หรือ 10 มม. ซึ่งหัวกล้องที่ใหญ่บางรุ่น จะมาพร้อมกับฟังก์ชันเสริมก็คือมีเลนส์กล้องติดอยู่คู่กันที่ด้านข้าง ทำให้เราสามารถมองเห็นมุมอับได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือมีฟังก์ชันเพิ่มเติมอีกก็คือการหมุนหัวกล้องให้เลี้ยวไปมา หรือหมุนได้รอบทิศ ก็จะช่วยให้สะดวกมากยิ่งขึ้นไปอีก และแน่นอนว่ามีราคาที่แพงกว่าเลนส์กล้องเดี่ยวๆ ปกติ
ขนาดหัวกล้องที่เป็นที่นิยมจะอยู่ที่ 5.5 มม. และ 8 มม. ในกล้องงูราคาถูก ไปจนถึงราคากลางๆ สามารถใช้ได้กับทั้งงานเครื่องยนต์ งานประปาบางส่วน และงานตรวจสอบผนังได้ดี โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อกล้องหลายขนาด
2. ความยาวสาย (Cable Length)
ความยาวของสายเคเบิล เป็นตัวกำหนดระยะทางว่ากล้องของเราสามารถเข้าไปได้ลึกแค่ไหน ถ้าสายสั้นไปก็ส่องไม่ถึงจุดที่เราต้องการ สายยาวไปก็อาจจะควบคุมยากและเกะกะ
ดังนั้น เวลาเลือกความยาวสาย ต้องดูประเภทของสายร่วมด้วย ซึ่งสายกล้องงูสำหรับงานช่าง หลักๆจะแบ่งเป็นสายอ่อน และสายแข็งหรือกึ่งแข็ง ซึ่งสายแบบแข็งนี้จะดีกว่าสายอ่อนๆ เพราะเราสามารถบังคับทิศทาง ดัดงอสายให้คงรูป และดันกล้องเข้าไปในที่คดเคี้ยว แต่ยังคงตั้งกล้องให้ตรงได้ง่ายกว่ามากๆ ดังนั้น ความยาวสายที่มาก ควรมาพร้อมกับลักษณะสายที่มีความแข็ง สามารถดัดหรืองอได้

ดังนั้น ผู้ใช้งานจึงควรประเมินความลึกสูงสุดที่ต้องการใช้ หากไม่ต้องการซื้อสายที่ยาวเกินความจำเป็น หรือถ้ามีความต้องการใช้งานที่หลากหลายมาก อาจพิจารณาการมีกล้องงูสองตัวที่มีความยาวทั้งสั้น และยาว แตกต่างกันแทน
3. ระบบไฟส่องสว่าง (LED Illumination)
พื้นที่ที่กล้องงูใช้ตรวจสอบ มักจะมีสภาพแวดล้อมที่แสงน้อยหรือมืดสนิท ดังนั้น ไฟ LED ที่หัวกล้องจึงเป็นสิ่งที่ต้องมี เพื่อให้มองเห็นภาพในที่มืดได้อย่างชัดเจน และที่สำคัญ ไฟ LED นั้น ควรจะปรับระดับความสว่างได้

ถึงแม้ว่าไฟ LED จำนวนเยอะๆ จะดูเหมือนให้แสงสว่างที่ดีกว่า แต่การปรับระดับความสว่างของไฟ LED เป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งกว่า เพราะบางทีคุณอาจส่องไปเจอพื้นผิวโลหะหรือเจอน้ำ จนทำให้เกิดแสงสะท้อนจำนวนมาก ทำให้ภาพสว่างจ้าเกินไป จนมองไม่เห็นรายละเอียดของภาพได้ ดังนั้น การปรับระดับความสว่าง จะช่วยให้คุณควบคุมแสงสะท้อนได้ดีขึ้น ทำให้ได้ภาพที่คมชัดที่สุดในทุกสภาพแวดล้อม
และในกล้องงูบางรุ่น อาจมีระบบไฟที่ซับซ้อนกว่า เช่น มีไฟทั้งด้านหน้าและด้านข้าง เนื่องจากเป็นกล้องงูแบบเลนส์คู่ ฟังก์ชันพวกนี้ช่วยให้เราสามารถเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในมุมอับได้ชัดเจนขึ้น ดังนั้น ถ้างานเราต้องการความละเอียดมากๆ การลงทุนกับกล้องที่มีระบบไฟดีๆ ก็คุ้มค่าแน่นอน
4. ความละเอียดของภาพ (Resolution)
ความคมชัดและรายละเอียดที่เราเห็นบนหน้าจอภาพ หรือที่บันทึกไว้นั้น หากยิ่งมีความละเอียดสูง ภาพที่ได้ก็จะยิ่งคมชัด ทำให้เราเห็นปัญหาเล็กๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งกล้องงูในตลาด ก็มีความละเอียดที่หลากหลาย ตั้งแต่ 480p ไปจนถึง 1440p
แน่นอนว่ากล้องที่ภาพคมชัดมากๆ ราคาก็จะสูงตามไปด้วย แถมภาพและวิดีโอความละเอียดสูง จะกินพื้นที่เก็บข้อมูลเยอะมากๆ ทำให้ต้องเตรียมเมมฯ หรือสำรองข้อมูลไปด้วยขณะปฏิบัติงาน แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าหากต้องวินิจฉัยปัญหาและเก็บภาพตัวอย่างแบบละเอียดๆ เช่น รอยแตกเล็กๆ การลงทุนกับกล้องความละเอียดสูง ก็คุ้มค่ากว่าในระยะยาว
อีกเรื่องที่ต้องดู คือ ขนาดหน้าจอที่เราใช้ดูภาพ ซึ่งต่อให้กล้องมีความละเอียดสูงมากแค่ไหน แต่ถ้าหน้าจอแสดงผลมีขนาดเล็ก หรือประมวลผลภาพได้ไม่ชัดเท่าความละเอียดจริง การดูภาพแบบ Realtime ก็ค่อนข้างที่จะเป็นปัญหา ดังนั้น ถ้าเป็นกล้องงูที่มีหน้าจอในตัว ลองดูขนาดและความละเอียดของหน้าจอนั้นๆ เพื่อที่จะได้เห็นภาพชัดๆ แบบ Realtime ได้อย่างเต็มตา
5. การเชื่อมต่อ หรือ หน้าจอแสดงผล (Connectivity or Display)
สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
- USB : เชื่อมต่อโดยตรงผ่านสาย USB
- Wi-Fi : เชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยสัญญาณ Wi-Fi
- จอในตัว (Built-in Screen) : กล้องงูแบบมีหน้าจอในตัวเอง
กล้องงูแบบ USB และ Wi-Fi มักจะมีราคาถูกกว่า เพราะใช้งานผ่านหน้ามือถือของเราเองได้ แต่มักจะมีข้อจำกัด หรือเกิดปัญหาได้ง่าย เช่น แอปอาจมีปัญหา ไม่เสถียร, ต้องตั้งค่าเยอะ, มีโฆษณาในแอปฟรี หรือ ความเสี่ยงที่สมาร์ทโฟนจะเสียหายหากใช้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น การสัมผัสกับน้ำ
ส่วนกล้องงูพร้อมจอ ถึงแม้ว่าจะแพงกว่า แต่ก็ให้ความเสถียรและน่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงานประเภทนี้โดยเฉพาะ ตอบโจทย์งานช่างมืออาชีพ ที่ต้องการความละเอียด ประสิทธิภาพสูง และแม่นยำ
6. มาตรฐานการกันน้ำ (Waterproof Rating)
มาตรฐานการกันน้ำ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการตรวจสอบในสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้น เช่น ท่อประปา, ท่อระบายน้ำ หรือพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ซึ่งมาตรฐาน IP (Ingress Protection) จะเป็นตัวบ่งชี้ระดับการป้องกันฝุ่นและน้ำ โดยที่ IP67 และ IP68 เป็นระดับที่พบได้บ่อยมากในกล้องงู
ถ้ากล้องของเราต้องจมน้ำบ่อยๆ การเลือกกล้องงูที่มีมาตรฐาน IP68 จะให้ความมั่นใจสูงสุด และช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ ในขณะที่งานทั่วไปที่อาจมีน้ำกระเซ็นหรือโดนความชื้นเล็กน้อย การเลือก IP67 ก็เพียงพอแล้ว ซึ่งการเลือกมาตรฐานที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันความเสียหายและประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอุปกรณ์ได้มาก
7. ระยะโฟกัส
ระยะโฟกัส คือ ระยะห่างที่กล้องสามารถจับภาพวัตถุได้ชัดเจนที่สุด กล้องงูในตลาดมีช่วงระยะโฟกัสตั้งแต่ 1-10 ซม.
กล้องงูส่วนใหญ่มีช่วงความชัดลึก (Depth of Field) ที่ค่อนข้างตื้น ซึ่งหมายความว่า วัตถุจะคมชัดเฉพาะเมื่ออยู่ในระยะโฟกัสที่กำหนดเท่านั้น หากวัตถุอยู่ใกล้หรือไกลเกินไป ภาพจะเบลอ เราต้องคอยปรับระยะห่างของหัวกล้องกับวัตถุต่างๆ เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดที่สุดในแต่ละจุดที่หัวกล้องไปถึง
สำหรับงานที่ต้องการการวินิจฉัยที่ละเอียดอ่อน เช่น การตรวจสอบรอยแตกเล็กๆ หรือการอ่านหมายเลขซีเรียลในพื้นที่แคบ ระยะโฟกัสที่ยืดหยุ่นหรือช่วงโฟกัสที่กว้างขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ หากกล้องมีระยะโฟกัสที่จำกัดมาก อาจทำให้พลาดรายละเอียดสำคัญที่อยู่นอกช่วงโฟกัสได้
8. ฟังก์ชันพิเศษอื่นๆ
- เลนส์คู่ (Dual Lens) : สามารถสลับมุมมองภาพระหว่างด้านหน้ากับด้านข้างได้ โดยที่ไม่ต้องหมุนหรือขยับสายกล้อง ช่วยให้เราตรวจสอบได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
- การปรับทิศทางหัวกล้อง (Articulating / Steerable Probe) : กล้องงูระดับสูงบางรุ่น สามารถบังคับหัวกล้องให้เลี้ยวไปมา หรือหมุนหัวกล้องได้รอบทิศ ช่วยให้เราส่องเห็นจุดที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วมาก
- ฯลฯ
การเลือกกล้องงูที่เหมาะสมสำหรับงานช่างนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเลือกซื้ออุปกรณ์ แต่เป็นการลงทุนในเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ, ความแม่นยำ และความเป็นมืออาชีพในการทำงาน การพิจารณาคุณสมบัติต่างๆ อย่างรอบคอบ จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจเลือกกล้องงูที่ตอบโจทย์กับความต้องการเฉพาะของตนได้อย่างแท้จริง
สำหรับช่างทั่วไปและผู้ที่ทำงาน DIY กล้องงูแบบเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่มีราคาประหยัด เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและใช้งานง่าย ในขณะที่ช่างมืออาชีพที่ทำงานซับซ้อนและต้องการความน่าเชื่อถือสูง ควรพิจารณากล้องงูที่มีจอในตัว พร้อมด้วยคุณสมบัติเสริมอย่างเลนส์คู่หรือการปรับทิศทางหัวกล้อง เพื่อให้สามารถวินิจฉัยปัญหาได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด
สุดท้ายนี้ การลงทุนในกล้องงูที่เหมาะสมกับลักษณะงาน จะช่วยประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพของงานซ่อมบำรุงในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน
หากสนใจกล้องงู ทางเรามีจำหน่าย กล้องงู กล้องส่องท่อ ในราคาถูก
สามารถเลือกซื้อเลือกชม >> กล้องงู << ที่ตรงกับความต้องการของคุณ หรือติดต่อสอบถามมาได้ที่นี่ 👇