
การดูดาว เป็นกิจกรรมยามว่างที่ใครหลายๆ คนอาจคิดว่าน่าสนุก และชวนให้ตื่นเต้น ในยามค่ำคืนที่ดาวนับล้านดวงแข่งกันส่องแสงระยิบระยับ
ซึ่งการคิดเช่นนี้ก็ไม่ผิดเลยสักนิดสำหรับนักดูดาวตัวยง แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า หากคุณดูดาวด้วยกล้องดูดาวเป็นครั้งแรกในชีวิต คุณอาจไม่ได้คิดแบบนี้ถ้าได้มาลองสัมผัสกับการหาดาวผ่านกล้องในสถานการณ์จริง เรียกได้ว่าอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดกันเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดที่นักดูดาวมือใหม่แกะกล่องอาจจะต้องเจอปัญหาก็คือ การหาดาวไม่เจอ ยุงกัด และต้องปวดเมื่อยเนื้อตัวเป็นชั่วโมงโดยที่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งสิ่งนี้เป็นที่น่าท้อใจและทำให้เราหมดไฟไปได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมใจสำหรับนักดูดาวมือใหม่ก็คือ คุณต้องมีความอดทนมากพอ แต่จะเป็นความอดทนในระดับไหนนั้น อันดับแรก คุณต้องมีความรู้และมีสิ่งที่ควรทำมากมายก่อนเริ่มเล็งหาดาวสักดวงด้วยกล้องดูดาวตัวแรกของคุณ

เพื่อให้ประสบการณ์การดูดาวครั้งแรกผ่านกล้องของคุณเป็นที่น่าประทับใจ ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำวิธีการเลือกซื้อกล้องดูดาวที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานครั้งแรก ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆ ที่พอจะบอกคุณภาพการส่องดาวให้คุณได้ก็คือ ความยาวโฟกัส และ ขนาดหน้าเลนส์ ของกล้องดูดาว
สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนซื้อกล้องดูดาว
1. กำลังขยาย (Magnicifation)
ผู้ใช้งานมือใหม่ มักมีความเข้าใจผิดในเรื่องของกำลังขยาย ที่ว่ากำลังขยายยิ่งสูงยิ่งดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว กำลังขยายไม่ได้การันตีว่าคุณจะได้ภาพที่ดีแต่อย่างใด ในทางกลับกัน กำลังขยายที่สูงเกินความจำเป็น จะทำให้ได้ภาพที่เบลอ มืด และเกิดการสั่นไหวได้ง่ายมาก ปรับยังไงภาพก็ไม่โฟกัส เนื่องจากกำลังขยายเกินกว่าที่หน้าเลนส์จะรับไหว
นอกจากนี้ การดูดาวในครั้งแรกสำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยกำลังขยายที่ไม่สูงมากแค่หลักสิบก็เพียงพอให้สามารถมองเห็นพื้นผิวดวงจันทร์ได้คร่าวๆ แล้ว แต่หากต้องการใช้กำลังขยายที่สูงตั้งแต่หลักร้อยขึ้นไป กล้องดูดาวของคุณจะต้องมีขนาดหน้าเลนส์ที่ใหญ่พอที่จะรองรับกำลังขยายสูงๆ นั้นด้วยเช่นกัน

2. ขนาดหน้าเลนส์ หรือ เลนส์ใกล้วัตถุ (Objective Lens : Aperture)
สิ่งที่จะทำให้ได้ภาพที่ดีหรือสว่างมากพอ ก็คือ ขนาดหน้าเลนส์ โดยยิ่งหน้าเลนส์มีขนาดใหญ่ ความสามารถในการรวมแสงก็จะยิ่งมาก ภาพที่ได้ก็จะยิ่งสว่าง ทำให้มองเห็นวัตถุในห้วงอวกาศลึกได้ดี และหากหน้าเลนส์มีขนาดใหญ่ ก็จะสามารถนำไปปรับใช้เป็นกำลังขยายที่สูงมากๆ ได้
ดังนั้น ไม่ใช่ว่ากำลังขยายไม่สำคัญ แต่ต้องดูขนาดหน้าเลนส์เป็นหลัก เพื่อให้ได้ภาพที่สว่างและคมชัด และถ้าหากว่าใช้กำลังขยายที่สูงเกินที่หน้าเลนส์จะรับได้ ภาพที่ได้ก็จะมืด เบลอ ไม่โฟกัส
- กำลังขยายที่เหมาะสม ที่กล้องดูดาวแต่ละตัวสามารถทำได้ ไม่ควรเกิน 50 - 60 เท่า ของขนาดหน้าเลนส์ใกล้วัตถุ " ในหน่วยนิ้ว " หรือ ประมาณ 2 เท่า ของขนาดหน้าเลนส์ใกล้วัตถุ " ในหน่วยมิลลิเมตร "
- เช่น ขนาดหน้าเลนส์ 114 mm แปลงเป็นหน่วยนิ้วที่ประมาณ 4.49 นิ้ว ก็จะได้กำลังขยายสูงสุดที่กล้องสามารถทำได้ก็คือประมาณ 225 - 296 เท่า นั่นเอง

3. ความยาวโฟกัส (Objective Lens : Focal Length)
นอกจากขนาดหน้าเลนส์ที่เป็นตัวกำหนดกำลังขยายสูงสุดที่กล้องแต่ละตัวจะทำได้แล้ว ความยาวโฟกัสของกล้อง ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถคำนวณกำลังขยายได้ว่า เลนส์ใกล้ตาที่เรามีอยู่ เมื่อนำมาใช้แล้ว จะทำให้ได้กำลังขยายที่เท่าใดบ้าง
- สูตร : กำลังขยาย = ความยาวโฟกัสหน้าเลนส์ หารด้วย ความยาวโฟกัสเลนส์ใกล้ตา
หากว่าเราต้องการส่องดาวด้วยกำลังขยายสูง แล้วเราก็มีกล้องที่หน้าเลนส์ใหญ่แล้ว แต่ถ้าความยาวโฟกัสของตัวกล้องตัวนั้นไม่ได้ยาวมาก เราจึงใช้เลนส์ใกล้ตาที่มีความยาวโฟกัสสั้นมากๆ เพื่อให้ได้กำลังขยายสูงๆ ภาพที่ได้ก็จะแคบ มืด และสั่นไหวได้ง่ายมากๆ และด้วยความที่ภาพมันแคบมากๆ เมื่อส่องด้วยตาก็จะทำให้มองยากและปวดตาสุดๆ ดังนั้น การเลือกใช้เลนส์ใกล้ตาก็สำคัญ และยังสามารถใช้ Barlow Lens ร่วมกับเลนส์ใกล้ตา เพื่อให้ได้ภาพที่ไม่แคบจนเกินไปได้อีกด้วย
- เช่น กล้องดูดาวที่มีความยาวโฟกัส 1000 mm หากใช้ร่วมกับเลนส์ใกล้ตา 4 mm จะได้กำลังขยาย 250 เท่า หรือ ใช้ร่วมกับเลนส์ใกล้ตา 10 mm + Barlow Lens 2x ก็จะได้กำลังขยายที่ 200 เท่า ถึงแม้ว่ากำลังขยายจะน้อยกว่า แต่ได้ประสบการณ์การส่องดาวที่ดีกว่าแน่นอน หรือ หากเป็นการส่องดวงจันทร์ แค่ใช้เลนส์ใกล้ตา 10 mm ได้กำลังขยาย 100 เท่า ก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้น ในกรณีของมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยกล้องดูดาวที่ไม่ใหญ่มาก หลักพัน-หมื่นต้นๆ ก็เพียงพอให้ได้ชื่นชมดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ หรือกลุ่มดาวบนท้องฟ้าได้แล้ว ในส่วนของกำลังขยายที่สูงมากนั้นยังไม่ค่อยจำเป็น เพราะการส่องดาวเคราะห์ด้วยกำลังขยายที่สูงมากๆ ก็ไม่สามารถทำให้เรามองเห็นไปถึงรายละเอียดพื้นผิวของดาวดวงนั้นเหมือนการส่องดวงจันทร์อยู่ดี
หรือการส่องกาแล็กซี่ เนบิวลา เช่น Orion Nebula ในกลุ่มดาวนายพราน ใช้แค่กล้องหน้าเลนส์กว้างๆ และใช้กำลังขยายแค่พอเหมาะ 100 เท่า ก็เพียงพอแล้ว สำคัญแค่หน้ากล้องต้องใหญ่ เพื่อให้รวมแสงได้ดีเท่านั้นเอง ( แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานที่ที่เราส่อง มีแสงรบกวนจากสภาพแวดล้อมด้วยหรือเปล่า ) หรือ ถ้าใช้กำลังขยายสูงๆ ไปเลยก็ได้เหมือนกัน ถ้าหน้าเลนส์กล้องดูดาวของคุณใหญ่พอที่จะเก็บแสงได้ดี เนื่องจากยิ่งกำลังขยายสูง ภาพก็จะยิ่งมืดลงนั่นเอง การที่มีหน้าเลนส์ใหญ่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
และความคาดหวังของภาพที่ตาเราจะมองเห็นผ่านเลนส์กล้องดูดาวนั้น อาจต้องทำความเข้าใจกันสักนิดว่าภาพที่เห็นจริงๆ จะไม่ได้มีสีสันอลังการเหมือนภาพถ่ายที่เราเห็นกันทั่วไป เนื่องจากตาเราไม่สามารถเก็บสีสันในที่มืดได้ขนาดนั้นถึงแม้ว่าจะมองผ่านกล้องดูดาวแล้ว โดยเฉพาะวัตถุท้องฟ้าลึกอย่างกาแล็กซี่ เนบิวลาต่างๆ แต่ในส่วนของดาวเคราะห์ที่เรารู้จักกันดีเหล่านั้น จะเห็นเป็นสีสันหรือลายผิวของตัวดาวได้ชัดเจนกว่า เนื่องจากอยู่ใกล้กับโลกของเรา

ภาพสวยๆ ที่เราเห็นกันก็มาจากการถ่ายภาพด้วยกล้องต่างๆ ที่ก็ต้องมีการปรับตั้งค่า หรือ เปิดรับแสงนานๆ ก่อน Shutter กว่าจะได้ภาพสวยๆ ออกมาให้เราได้ชื่นชมกัน ซึ่งขั้นตอนการถ่ายภาพก็ต้องอาศัยความอดทน อุปกรณ์ และความเชี่ยวชาญที่เกิดจากการทดลองทำซ้ำๆจนจับทางได้เช่นกัน
4. วัตถุประสงค์ในการใช้งาน
แน่นอนว่า ก่อนเลือกซื้อกล้องดูดาวในงบประมาณที่คิดไว้แล้ว หากดูขนาดหน้าเลนส์เป็นหลักว่าต้องใหญ่แล้ว แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องใหญ่แค่ไหนถึงจะเพียงพอและเหมาะสมกับการใช้งานของเรา ก็ต้องมาพิจารณากันอีกทีว่าต้องการใช้ดูอะไรเป็นหลัก ดังนี้
- ดูดาวเคราะห์และดวงจันทร์ : หากคุณต้องการที่จะสังเกตดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ เช่น ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ หรือดูบริวารของดาวพฤหัสบดี กล้องดูดาวที่มีหน้าเลนส์ไม่กว้างมากประมาณ 50 - 70 mm ก็สามารถที่จะมองเห็นดาวเคราะห์เป็นรูปทรงชัดเจนกว่ามองด้วยตาเปล่าแล้ว
- ดูวัตถุท้องฟ้าลึก (Deep Sky Objects) : การสำรวจวัตถุบนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปมากๆ เช่น เนบิวลา กาแล็กซี หรือกระจุกดาวต่างๆ คุณอาจต้องใช้กล้องดูดาวที่มีขนาดหน้าเลนส์ใหญ่พอที่จะมองเห็นได้
- หากมีงบจำกัด สามารถเริ่มต้นใช้กล้องที่มีหน้าเลนส์ 80 mm ก็จะสามารถมองเห็นกาแล็กซี่หรือเนบิวลาใกล้ๆ ได้ เช่น กาแล็กซีแอนโดรเมดา ที่สามารถมองเห็นได้ง่ายที่สุดในบรรดากาแล็กซี่อื่นๆ
- หากต้องการสำรวจวัตถุในห้วงอวกาศลึกที่มีความสว่างน้อย หรืออยู่ไกลออกไปมากๆ ควรเริ่มต้นใช้กล้องดูดาวที่มีหน้าเลนส์ตั้งแต่ 6 นิ้ว หรือ 150 mm ขึ้นไป
- ดูดาวทั่วไป : หากต้องการเพียงแค่ดูดาวต่างๆ บนท้องฟ้าเพื่อความเพลิดเพลินและชัดกว่ามองด้วยตาเปล่า อาจเริ่มต้นด้วยการใช้กล้องส่องทางไกลสองตาที่มีขนาดหน้าเลนส์ 50 mm ขึ้นไป ถ้าไม่มั่นใจว่าจะส่องดาวได้ดีมั้ย ให้เลือกกล้องส่องทางไกลรุ่นที่เคลมว่าส่องดาวได้ เช่น Celestron SkyMaster
การส่อง Deep Sky Objects อีกสิ่งสำคัญเลยคือสถานที่ ถ้าเราอยู่ในกรุงเทพฯ ใจกลางเมือง ต่อให้ใช้กล้องดูดาวดีแค่ไหนก็คงส่องไม่เห็น ฉะนั้น สภาพอากาศ และ สภาพแวดล้อม สำคัญมากในการส่องวัตถุท้องฟ้าเหล่านี้ รวมไปถึงดาวเคราะห์และดาวฤกษ์อื่นๆ ก็เช่นกัน
นอกจากนี้ การที่เราจะดูดาวเคราะห์ต่างๆ ด้วยกล้องที่มีหน้าเลนส์ขนาดไหนก็ตาม ควรจะต้องเป็นช่วงที่ดาวเคราะห์ดวงนั้นมีวงโคจรมาอยู่ใกล้โลกที่สุด เพื่อให้สามารถมองเห็นได้ง่ายและชัดเจนที่สุด
5. ประเภทของกล้องดูดาว (Types of Telescopes)
กล้องดูดาวแต่ละประเภทจะให้ภาพกลับหัวและกลับซ้าย-ขวา ดังนั้น ขณะส่องภาพและหมุนกล้องตามดาวไปด้วย อาจทำให้เกิดการสับสนได้ง่าย โดยกล้องดูดาวที่ใช้งานกันทั่วไป จะมีหลักๆ อยู่ 3 ประเภท ดังนี้
- กล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสง (Refracting Telescope) : ใช้เลนส์นูนที่หน้ากล้องในการวมแสง ก่อนส่งไปยังเลนส์ใกล้ตา
- ส่วนใหญ่จะมีหน้ากล้องที่ไม่กว้างมาก และเป็นทรงเรียวยาว น้ำหนักเบา
- มีราคาถูกที่สุด เนื่องจากผลิตได้ง่ายที่สุดใน 3 ประเภท
- เหมาะสำหรับส่องดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ หรือดาวฤกษ์ที่สว่างมากๆ
- กล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสง (Reflecting Telescope) : ใช้กระจกเว้าในการรวมแสงและกระจกเงาแบนขนาดเล็กในการสะท้อนแสงไปยังเลนส์ใกล้ตา
- มักมีหน้ากล้องที่กว้างกว่าแบบหักเหแสง และเป็นทรงป้อมๆ ไม่ยาวมาก
- เนื่องจากมีหน้าเลนส์ที่กว้าง ก็จะได้ภาพที่สว่างและคมชัดกว่าแบบหักเหแสง
- สามารถส่องเห็นรายละเอียดของดาวเคราะห์ที่ชัดเจนขึ้นได้ เช่น วงแหวนดาวเสาร์
- เหมาะสำหรับส่องดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ กาแล็กซี่ เนบิวลา ฯลฯ
- กล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสง แบบผสม (Catadioptric / Cassegrain Telescope) : ใช้กระจกเว้าในการรวมแสงและกระจกนูนในการสะท้อนแสงไปยังเลนส์ใกล้ตา โดยจะมีประเภทย่อยที่เป็นที่นิยมที่สุด คือ Schmidt–Cassegrain และ Maksutov–Cassegrain
- เป็นทรงสั้นๆ กว่าแบบสะท้อนแสง เนื่องจากมีการสะท้อนแสงกันภายในตัวกล้องที่ซับซ้อนกว่า
- ให้คุณภาพของภาพสูงที่สุด ภาพสว่าง และคมชัดกว่าแบบสะท้อนแสงปกติ จึงทำให้มีราคาสูงที่สุด
- Schmidt–Cassegrain (SCT) : มีแผ่นแก้ไขความคลาดทรงกลม (Corrector Plate) ที่หน้ากล้อง
- Maksutov–Cassegrain (MCT) : มีเลนส์แก้ไขความคลาดทรงกลม (Meniscus Lens) ที่หน้ากล้อง
- มีความคลาดสีที่ต่ำกว่า SCT
- เนื่องจากใช้ Meniscus Lens ซึ่งจะทำให้มีความหนาและหนักมาก ทำให้การผลิตหน้ากล้องใหญ่ๆ จะไม่ค่อยนิยมมากเท่า SCT
และสิ่งสำคัญที่ควรจดและจำสำหรับนักดูดาวมือใหม่เลยก็คือ ห้ามส่องดวงอาทิตย์ด้วยกล้องดูดาวโดยตรงเด็ดขาด จะเป็นอันตรายกับดวงตาของเราถึงขั้นตาบอดได้เลย ยกเว้นว่าจะใช้ร่วมกับฟิลเตอร์กรองแสงสำหรับดวงอาทิตย์ (Solar Filter) ที่มีคุณภาพ
6. อุปกรณ์เสริม
ในการเลือกซื้อกล้องดูดาวสักตัว แน่นอนว่านอกจากตัวกล้องแล้ว ยังมีอุปกรณ์เสริมเพื่อการใช้งานอื่นๆ ที่สำคัญอีก เช่น กล้องเล็ง เลนส์ใกล้ตา ฟิลเตอร์เลนส์ ตัวแปลงถ่ายภาพ หรือมอเตอร์ช่วยติดตามดาว ที่จะเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานกล้องดูดาวให้คุณได้ และอุปกรณ์เสริมที่ขาดไม่ได้ หรือถ้าขาดก็ควรซื้อแยกติดไว้เลยก็คือ กล้องเล็ง เลนส์ใกล้ตา และ Barlow Lens
- กล้องเล็ง (Finder scope) : เป็นอุปกรณ์ช่วยเล็งที่สำคัญมากสำหรับมือใหม่ มีกำลังขยายต่ำ จึงให้มุมมองภาพที่กว้าง และมีจุดศูนย์เล็งที่สามารถปรับตำแหน่งได้ ใช้สำหรับเล็งดาวหรือวัตถุที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่าการเล็งดาวด้วยตาเปล่ามาก โดยในการใช้งาน จะต้องมีการปรับศูนย์เล็งของกล้องเล็ง ให้ตรงกับกล้องดูดาวก่อน และหลังจากปรับศูนย์เล็งเรียบร้อยแล้ว การส่องดาวก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก แม้ว่าคุณจะยังเป็นมือใหม่ก็ตาม ดังนั้น จึงควรเลือกกล้องดูดาวที่มีกล้องเล็งมาให้ด้วย จะดีที่สุด
- เลนส์ใกล้ตา (Eyepiece) : เป็นเลนส์ที่ใช้ในการขยายภาพ มีหลากหลายขนาดให้เลือกใช้ และโดยปกติแล้ว ตัวกล้องดูดาวจะแถมเลนส์ใกล้ตามาให้ประมาณ 2 - 3 ขนาด เพื่อให้สามารถใช้งานกล้องดูดาวได้เลย โดยที่ไม่ต้องไปซื้อเลนส์เพิ่ม แต่จุดที่ต้องดูก็คือ เลนส์ใกล้ตาที่แถมมาให้นั้น เพียงพอต่อการใช้งาน หรือ ทำให้ได้กำลังขยายมากเท่าที่ต้องการหรือไม่
- สูตร : กำลังขยาย = ความยาวโฟกัสหน้าเลนส์ หารด้วย ความยาวโฟกัสเลนส์ใกล้ตา
- เช่น กล้องดูดาวที่มีความยาวโฟกัส 900 mm และหน้าเลนส์ 80 mm กำลังขยายที่สามารถทำได้อยู่ที่ 155 - 189 เท่า ก็ต้องมาดูว่าเลนส์ใกล้ตาที่แถมมาให้เพียงพอหรือไม่ ต้องซื้อเลนส์เพิ่ม เพื่อให้ได้กำลังขยายที่ต้องการมั้ย
- เลนส์ขยาย Barlow Lens : เป็นเลนส์ที่ช่วยเพิ่มความยาวโฟกัสให้กับกล้องดูดาว ทำให้ไม่ต้องใช้เลนส์ใกล้ตาที่มีความยาวโฟกัสที่สั้นมากๆ ได้ โดย Barlow Lens จะบอกคุณสมบัติโดยตรงเลยว่าช่วยเพิ่มกำลังขยายขึ้นกี่เท่าจากการใช้งานระหว่างกล้องดูดาวกับเลนส์ใกล้ตา มีตั้งแต่ 1.5x ไปจนถึง 5x
- เช่น กล้องดูดาวที่มีความยาวโฟกัส 900 mm และหน้าเลนส์ 80 mm ใช้ร่วมกับเลนส์ใกล้ตา 10 mm จะได้กำลังขยาย 90 เท่า แต่ถ้าใช้ Barlow Lens 2x เสริมเข้าไปอีก ก็จะได้กำลังขยายถึง 180 เท่า
นอกจากนี้ หากคุณยังเป็นมือใหม่แม้กระทั่งการดูดาวด้วยตาเปล่า ควรมีหรือเริ่มหัดใช้ "แผนที่ดาว" ให้คล่องไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนมือ บนแอปฯในมือถือ บนออนไลน์ หรือ โปรแกรมในคอมฯ เช่น Stellarium
7. ประเภทฐานเมาท์
ฐานเมาท์และขาตั้งกล้องดูดาว เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยรองรับน้ำหนักกล้องดูดาว และช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมทิศทางจนกระทั่งสามารถเล็งกล้องไปยังวัตถุบนท้องฟ้าที่ต้องการได้ โดยฐานเมาท์จะมีหลักๆ อยู่ 3 ประเภท และแต่ละประเภท ก็มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันไป
- ฐานเมาท์แบบอัลตาซิมุท (Alt-azimuth Mount) : เรียกอีกชื่อว่าฐานตั้งระบบขอบฟ้า เป็นฐานเมาท์ที่ไม่ซับซ้อน น้ำหนักเบา และใช้งานง่ายที่สุด สามารถปรับทิศทางกล้องได้อย่างรวดเร็ว โดยจะมี 2 แกนบังคับที่หมุนไปตามระบบพิกัดขอบฟ้า ดังนี้
- แกน Altitude (Alt) : ใช้ปรับมุมเงย ขึ้น-ลง
- แกน Azimuth (Az) : ใช้ปรับมุมทิศ ซ้าย-ขวา
- เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ใช้งานกล้องดูดาวทั่วไป กำลังขยายไม่สูง
- ไม่เหมาะที่จะติดตามการเคลื่อนที่ของวัตถุนานๆ โดยเฉพาะถ้าส่องด้วยกำลังขยายสูงๆ
- ถ้าส่องด้วยกำลังขยายสูงๆ ดาวจะเคลื่อนออกจากหน้ากล้องไวมาก การควบคุมกล้องให้เคลื่อนตามดาวจะทำได้ยาก เนื่องจากต้องปรับทั้ง 2 แกนควบคู่กันไป
- ฐานเมาท์แบบอิเควทอเรียล (Equatorial Mount) : เรียกอีกชื่อว่าฐานตั้งระบบศูนย์สูตร เป็นฐานเมาท์ที่มีการใช้งานซับซ้อน โดยจะมีแกนหลักอยู่ 2 แกน ที่จะหมุนไปตามระบบพิกัดศูนย์สูตร และมีอีก 1 แกน สำหรับปรับค่าละติจูด
- แกน Right Ascension (RA) : ใช้บอกตำแหน่งของดาวในแนวตะวันออก-ตก คล้ายกับเส้นลองจิจูดบนโลก และเป็นแกนที่ชี้ไปที่ขั้วฟ้าเหนือ (หรือขั้วฟ้าใต้ในซีกโลกใต้) ทำให้กล้องสามารถหมุนด้วยแกนเดียวกันกับที่โลกหมุนรอบตัวเอง ช่วยในการติดตามดาวที่เคลื่อนที่บนท้องฟ้าได้อย่างแม่นยำ
- แกน Declination (Dec) : ใช้ปรับมุมเงยของกล้องดูดาว ช่วยบอกตำแหน่งของดาวในแนวเหนือ-ใต้ ทำให้สามารถเล็งไปยังวัตถุที่อยู่สูงหรือต่ำบนท้องฟ้าได้
- Altitude / Latitude Scale : เป็นแกนบอกองศา ที่เราจะต้องปรับหรือหมุน Screw เพื่อกำหนดตำแหน่งของเราบนโลก หรือก็คือ กำหนดค่าละติจูดของตำแหน่งที่เรากำลังยืนส่องดาวอยู่ เพื่อให้กล้องดูดาวชี้ไปที่แกนขั้วโลก (Polar Axis) ได้อย่างแม่นยำ
- ช่วยให้สามารถค้นหาและติดตามการเคลื่อนที่ของดาวบนท้องฟ้าได้อย่างแม่นยำ (ขึ้นอยู่กับความชำนาญด้วย)
- การติดตามการเคลื่อนที่ของดาวด้วยแกน RA เพียงแกนเดียว ทำให้เหมาะกับการถ่ายภาพทางดาราศาสตร์
- เหมาะสำหรับการดูดาวเคราะห์ และวัตถุท้องฟ้าอื่นๆที่อยู่ลึกออกไปในห้วงอวกาศที่ตาเปล่ามองเห็นได้ยาก
- เนื่องจากมีการใช้งานที่ซับซ้อน จึงต้องมีการปรับ ตั้งค่าการใช้งาน และต้องฝึกทำให้ชำนาญอยู่เสมอ

- ฐานเมาท์แบบดอปโซเนียน (Dobsonian Mount) : เป็นฐานเมาท์ที่มักใช้กับกล้องดูดาวแบบสะท้อนแสงขนาดใหญ่ มีระบบการใช้งานที่เหมือนกับ Altazimuth Mount คือจะมีแกน Altitude ปรับขึ้น-ลง และแกน Azimuth ปรับซ้าย-ขวา
- เหมาะสำหรับมือใหม่ ที่ต้องการใช้งานกล้องดูดาวที่มีขนาดหน้าเลนส์ใหญ่
- ไม่เหมาะที่จะติดตามการเคลื่อนที่ของวัตถุนานๆ เช่นกัน เนื่องจากต้องใช้ถึง 2 แกนพร้อมกันเพื่อติดตาม
จะเห็นได้ว่า การเลือกซื้อกล้องดูดาว มีปัจจัยที่ต้องพิจารณามากมายก่อนเลือกซื้อ และที่สำคัญ ถ้าผู้ใช้ยังมีความรู้เกี่ยวกับการดูดาวไม่มาก หรือแม้แต่ยังไม่สามารถมองท้องฟ้าแล้วบอกได้ว่าดาวที่เห็นคือดาวอะไร พูดก็คือพื้นฐานเป็นศูนย์ การข้ามขั้นตอนมาใช้กล้องดูดาวเลยจะยิ่งยากและทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อกล้องดูดาวนั้น ทำได้ยากขึ้นไปอีก
ดังนั้น พื้นฐานและความรู้เรื่องดาราศาสตร์และการดูดาวก็สำคัญไม่แพ้กัน แต่หากว่าคุณมีความสนใจและต้องการที่จะมีกล้องดูดาวติดบ้านไว้สักตัว ถึงแม้พื้นฐานจะยังไม่แน่น ก็สามารถเลือกซื้อเลือกชมกล้องดูดาวทั้งหมดได้ที่นี่ 👉 หมวด กล้องดูดาว
หรือทักมาสอบถาม / ให้ทางร้านช่วยแนะนำรุ่นที่เหมาะสมให้ท่านได้ที่นี่ 👇